
องค์ประกอบสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ส่งเสริมให้บรรยากาศของบ้านมีความน่าอยู่ ร่มเย็น และร่มรื่น เป็นพื้นที่สีเขียวที่ชุบชีวิตให้กับผู้อยู่อาศัยและผู้ที่มาเยือน นั่นคือสวน คือต้นไม้และดอกไม้นานาพันธุ์ เช่นเดียวกับบ้านของครอบครัวสถาปนิก 3 คน คุณนิธิ ศาสตราจารย์เลอสม และคุณนิธิศ สถาปิตานนท์ ในย่านใจกลางเมือง กรุงเทพมหานคร ที่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวเอาไว้ในหนังสือ “บ้านของเรา บ้านสถาปนิก” ทั้งสองเล่ม
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2548 เมื่อครั้งที่ 3 สถาปนิก ช่วยกันออกแบบบ้านหลังนี้ งานจัดภูมิทัศน์นับเป็นงานสำคัญที่ทั้ง 3 คน พิถีพิถันเป็นพิเศษ ด้วยมีความสนใจและรักต้นไม้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
“สวนในบริเวณบ้านของเรา เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการจัดวางตำแหน่งในบริเวณบ้าน ด้วยพวกเราทุกคนรักความเขียวขจีของต้นหมากรากไม้ ชอบที่โล่ง ชอบแสงแดด และชอบสนามหญ้า เราตั้งใจที่จะออกแบบสวนด้วยตัวเอง ด้วยแนวความคิดที่อาจไม่เหมือนกับบ้านอื่นๆ ที่ทำให้กับลูกค้าทั่วไป พอสรุปได้ ดังนี้
ไม่อยากให้ดูรกรุงรังเป็นสวนป่า เพราะมีประสบการณ์จากบ้านเก่า ที่ปลูกต้นไม้ไว้หลายต้นจนกลายเป็นสวนป่า แสงแดดส่องไม่ถึงพื้นดิน หญ้าที่ปลูกในสนามก็ตายเป็นส่วนใหญ่ พื้นดินใต้ต้นไม้ก็อับชื้น เป็นที่อยู่อาศัยของงู กบ คางคก และแมลงอีกหลายชนิด โดยเฉพาะยุง ส่วนบนต้นไม้ก็เป็นที่อยู่อาศัยของนกและกระรอก เมื่อต้นไม้มีดอกออกผลก็เป็นอาหารของกระรอก แต่ถ้าในฤดูไม่มีผลไม้ ยอดอ่อนๆ ของต้นไม้ก็จะถูกกระรอกแทะกินจนหมด นอกจากยอดอ่อนแล้ว กระรอกก็ยังแทะเปลือกไม้ จนบางต้นถึงกับยืนตายไปก็มี และเมื่อถึงฤดูแล้ง ต้นไม้จะเริ่มผลัดใบ ต้องกวาดต่อเนื่องกันเป็นเดือนๆ เพราะถ้าไม่กวาดนานๆ หญ้าก็ตาย ใบไม้ก็เน่า
สวนบ้านของเรานี้ อยากให้ดูแลรักษาง่าย เพราะชอบลงมือปลูกต้นไม้เอง จะเน้นที่ต้นไม้ใหญ่เดิม เช่น ต้นไทร ต้นตะแบก ต้นมะม่วง ต้นลีลาวดี ถ้ามีไม้พุ่ม ไม้กอ ก็จะเลือกเพียงไม่กี่ชนิดที่ดูแลง่าย คงทน ส่วนไม้ใบที่สวยงามจะเลี้ยงไว้ในกระถาง วางไว้บริเวณใกล้ศาลาอเนกประสงค์เพื่อดูแลใกล้ชิด”
เมื่อสร้างบ้านเสร็จ ก็ได้สวนที่สวยงามเ็นที่ถูกใจของทุกคน มีสนามให้ลูกหลานไว้วิ่งเล่น เขียวขจีไปด้วยต้นไม้หลากหลายชนิด แต่เมื่อยู่มาได้ไม่กี่ปี ก็เริ่มมีปัญหา เพราะไม้พุ่มต่างๆ และสนามหญ้าเริ่มไม่งอกงาม เพราะได้รับแสงแดดไม่เพียงพอ ด้วยต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกไว้เจริญเติบโตแผ่กิงก้านบดบังแสงแดด ทั้งยังล่วงล้ำไปในบ้านข้างเคียง เป็นเหตุให้ต้องทำการปรับปรุงแก้ไข
“เราอยู่บ้านมา 15 ปี เราต้องปรับปรุงแก้ไขสวนของเราครั้งใหญ่ถึง 3 ครั้ง คำว่าครั้งใหญ่ก็คือตัดต้นไม้ใหญ่ลงหลายต้น ทำสนามหญ้าใหม่ และจัดแต่งสวนไม้พุ่มใหม่ทั้งหมด และได้ข้อสรุปที่ดูจะเหมาะกับบ้านของเราได้ในที่สุด ดังนี้
เก็บต้นไม้ใหญ่ไว้เท่าที่จำเป็น และเลือกต้นที่ไม่บดบังแสงแดดจนต้นไม้เล็กและสนามหญ้าอยู่ไม่ได้ และยังคงให้มีสนามหญ้า นั่นหมายถึงต้องวางแผนให้แสงแดดส่องลงพื้นหญ้าได้ ส่วนใดที่แสงแดดส่องไม่ถึง ได้ออกแบบให้เป็นพื้นโรยกรวด เป็นที่วางไม้กระถาง เน้นที่ไม้ใบเป็นส่วนใหญ่
คลุกคลีอยู่กับสวนมาเป็น 10 ปี ปัญหาเรื่องการดูแลรักษาเป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะในยุคนี้ ที่หาคนดูแลที่เข้าใจเรื่องต้นหมากรากไม้ลำบากขึ้น การปรับปรุงสวนของเราในครั้งสุดท้ายนี้ (พ.ศ. 2563) เราจึงเลือกสวนที่ดูแลรักษาได้ง่ายและเป็นสวนที่มองดูเขียวสดชื่น ภาระของคนในบ้านก็แค่รดน้ำต้นไม้ทุกวัน จ้างคนมาตัดหญ้าและเก็บกวาดใบไม้เดือนละ 2 ครั้ง ทำให้สวนในยุคนี้ของเราเป็นสวนต้นไม้ใหญ่เป็นหลัก พยายามหลีกเลี่ยงการมีไม้พุ่มไม้ประดับที่ต้องลงดิน จากนั้นก็เป็นต้นไม้กระถางเป็นส่วนใหญ่ที่ดูแลเปลี่ยนดินได้ง่ายและเคลื่อนย้ายได้ เพื่อรับแสงแดดในตำแหน่งที่เหมาะสม”
ปัจจุบัน ต้นไม้ใหญ่ที่ยังคงหลงเหลือในบริเวณบ้าน ได้แก่ ต้นไทรขนาดใหญ่สูงถึง 15 เมตร ที่ปลูกมาร่วม 20 ปี ต้นแคนาสูงเกือบ 20 เมตร ต้นประดู่ป่าใหญ่ 2 ต้น ต้นลีลาวดีและต้นปีบ ชนิดละ 4-5 ต้น ที่ปลูกมากว่า 10 ปี รวมถึงต้นไม้ราคาไม่สูงที่มักพบเห็นตามข้างถนน อย่างต้นทองอุไร ที่มีลักษณะพิเศษคือออกดอกสีเหลืองบานสวยเต็มต้น ทนต่อดินฟ้าอากาศแล้ง โดยเลือกต้นใหญ่สูงประมาณ 3-5 เมตร มาปลูกไว้ที่หน้าบ้านและกลางสนาม ซึ่งเป็นบริเวณที่โดดแดดจัด ผ่านไประยะ 3-4 เดือน ก็ออกดอกบานสะพรั่งสวยงาม
“ต้นทองอุไรเป็นต้นไม้เก่าแก่ของประเทศที่พวกเราเห็นมาตั้งแต่เกิด และเป็นต้นไม้ที่ปู่ย่าตายายรู้จักกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ ชาวบ้านในชนบทปลูกไว้หน้าบ้านกันทั่วประเทศ ทางการก็มักจะปลูกไว้ตามข้างถนนหลวงเพราะเป็นต้นไม้ที่ทนทาน ไม่ต้องการน้ำมาก ทนแล้งและสู้ฝนได้ และที่สำคัญออกดอกเกือบทั้งปี พวกเราประทับใจทุกครั้งที่เดินทางไปตามต่างจังหวัดและได้เห็นต้นทองอุไรออกดอกเหลืองเต็มต้น ผสมผสานกับใบสีเขียวเข้มขับดอกสีเหลืองสดให้สวยงามเป็นที่สะดุดตา ยิ่งถ้าได้พบต้นใหญ่ๆ สูง 6-7 เมตร ยิ่งสวยสง่าจนต้องจอดรถและถ่ายรูปเก็บไว้
ทุกวันนี้ นักออกแบบจัดสวน หรือทางการเริ่มเห็นคุณค่าของต้นทองอุไร เริ่มนำมาใช้ในการตกแต่งสวน ตกแต่งท้องถนน จนนักค้าขายต้นไม้เริ่มเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ ขายกันได้ราคา ต้นใหญ่ๆ สูง 5-7 เมตร อาจซื้อขายกันได้ในราคา 5,000-10,000 บาท แถมยังต้องสั่งจองกันเป็นเดือนๆ ที่บ้านของเราเริ่มปลูกกันมา 3-4 ปีแล้ว บางต้นสูงใหญ่เกิน 5-6 เมตรไปแล้ว บางต้นปลูกไว้ในกระถางใหญ่ๆ ให้ดอกเหลืองเกือบทั้งปี จะดูต้นโทรมลงบ้างก็ตอนฤดูฝน เพราะดอกจะสู้เม็ดฝนไม่ไหว แต่ถึงกระนั้นในฤดูฝนใบก็สวยงามเขียวหนาทึบเต็มต้น เป็นอันว่าวันนี้เราได้ต้นไม้สวยงามเป็นหน้าเป็นตาของประเทศชาติของเราอีกต้น ชื่อ “ทองอุไร” ออกดอกเหลืองสดเต็มต้นตลอดปี ดอกอยู่นานกว่าต้นซากุระของญี่ปุ่น หรือออกดอกคงทนยาวนานกว่าต้นหางนกยูง ต้นชัยพฤกษ์ ต้นราชพฤกษ์ ต้นเหลืองปรีดียาธร หรือต้นตาเบบูญ่า ถ้ามีผู้มองเห็นการณ์ไกล ปลูกรวมกันในพื้นที่ใหญ่ๆ ปลูกเป็นร้อยๆ ต้น จะสวยงามและมีชื่อเสียงระดับโลกได้”
นอกจากนี้ยังมีต้นไม้พิเศษที่เลือกนำมาปลูก คือต้นสาละ ซึ่งเป็นต้นไม้ที่มีรูปฟอร์มสวยงาม ลำต้นตั้งตรง ออกใบหนาทึบ มีดอกและผลงอกจากลำต้นส่วนกลาง ทิ้งใบร่วงปีละ 2-3 ครั้ง เมื่อถึงเวลาใบร่วงจะร่วงหมดต้นภายใน 2-3 วัน เมื่อร่วงหมดต้นแล้วใบใหม่ก็จะแตกใบเขียวทั้งต้นภายใน 5-7 วัน ออกมาเขียวขจีดังเดิม
“เมื่อนำต้นสาละมาปลูกที่บ้าน ทำให้พวกเรารู้จักต้นสาละมากขึ้น เมื่อนำมาปลูกที่บ้านเราก็เป็นภาระที่พวกเราต้องเกณฑ์คนมาช่วยกันกวาดใบไม้ปีละหลายครั้ง ซึ่งก็อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ชาวบ้านไม่นิยมปลูกในบ้าน จะเห็นชินตาพบได้ตามวัดวาอารามต่างๆ เท่านั้น ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งของต้นสาละ คือ ยอดใบที่แตกใหม่ๆ กระรอกจะชอบกินมาก เมื่อวันที่ต้นแตกยอดใบอ่อนใหม่ๆ กระรอกจะมาอุดหนุนกันเต็มต้น เป็นบรรยากาศที่ครึกครื้นตลอดมา นอกจากยอดอ่อนๆ แล้ว กระรอกยังชอบลอกเปลือกของกิ่งใหม่ๆ สามารถลอกเปลือกไปได้เป็นเส้นใยยาวๆ เราก็ติดตามไปดู พบว่ามันเอาไปสร้างรังได้อย่างดี แต่สิ่งที่สร้างปัญหาให้กับบ้านของเราตลอดมาก็คือกิ่งที่ถูกลอกเปลือกออกไปนั้นก็จะหมดสภาพ ตายไปในที่สุด นั่นหมายถึงต้นสาละแต่ละต้นก็ต้องต่อสู้กับฝูงกระรอก เมื่อถูกลอกเปลือกออกไปหลายๆ กิ่ง บางต้นก็ถึงกับรูปฟอร์มเสียไปเลยก็มี”
ท้ายที่สุดแล้ว บรรยากาศของสวนบ้านหลังนี้ จึงมีความเป็นสวนป่าที่ผสมกับสวนบ้าน มีทั้งต้นไม้ใหญ่ มีสนามหญ้า ไม้พุ่ม และไม้กอ และประดับประดาไปด้วยไม้กระถาง ที่โดยมาเลือกไม้ใบสีเขียวเกือบตลอดทั้งปี รวมถึงไม้ตามฤดูกาลบางชนิด ที่ช่วยขับบรรยากาศให้ดูมีสีสัน สวยแปลกตา สับเปลี่ยนกันไป
“คำว่า สวนบ้าน ในที่นี้ก็คือสวนที่ประดับประดาด้วยต้นไม้ในกระถาง เหมือนสวนในบ้านของคนในชนบท อยากปลูกอะไรก็ปลูกกันในกระถาง จะมีพืชผักสวนครัวแทรกอยู่บ้างก็ไม่เคอะเขินอะไร เมื่ออากาศเปลี่ยนตามฤดูกาล ก็มีอารมณ์อยากมีสีสันในสวนบ้าง ยิ่งในช่วงฤดูหนาวมีต้นไม้หลายชนิดออกดอกสวยงาม ส่วนใหญ่ก็เป็นต้นเทียนญี่ปุ่น มีหลากหลายสี รวมทั้งต้นคริสต์มาส ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายสี นำมาปลูกในกระถางรวมๆ กันเป็นกอใหญ่ๆ เพิ่มชีวิตชีวาให้กับบ้านของเราขึ้นมาก บางปีเมื่อถึงฤดูร้อน เราก็ปลูกต้นเฟื่องฟ้าออกดอกสะพรั่งสวยงาม ต้นเฟื่องฟ้าเป็นต้นไม้พื้นบ้านอีกชนิดหนึ่งที่นักจัดสวนรุ่นใหม่ไม่นิยม ด้วยอาจมีสีสันหลากหลายจนไร้รสนิยม แต่พวกเราเห็นว่าถ้าคัดเลือกสีบางสีที่เข้ากัน เช่น สีม่วง สีชมพู และสีขาว ก็ดูดีไม่ขัดตา แถมยังเป็นไม้ยืนต้นที่เมื่อสิ้นฤดูที่ไม่มีดอกก็เก็บไว้ริมรั้ว พอหมดฝนก็นำออกมาตัดแต่งให้ออกดอกกันใหม่ได้ จากนั้นก็เข้าสู่ฤดูฝน เราเปลี่ยนต้นไม้เป็นไม้ใบหลายๆ ชนิดที่สู้แดดสู่ฝนได้ตลอดฤดู ต้นไม้สู้ฝนได้นี้ ส่วนใหญ่เป็นไม้ยืนต้น เลือกไม้ใบที่มีสีสันหลากหลาย มีทั้งไม้ใบใหญ่และไม้ใบเล็กปะปนกัน ซึ่งก็ทำให้บ้านของเรามีสีสันสดชื่น ผ่านฤดูฝนไปได้ตลอดฤดู พวกเราถือปฏิบัติต่อเนื่องกันมาหลายปีและสรุปกันได้ว่ามันคุ้มค่ากับเวลาและค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ ที่เสียไป ถึงฤดูหน้าหนาวเข้าฤดูร้อน บ้านเราก็มีสีสันดังที่เห็นในภาพทุกๆ ปี”
การสังเกตการเปลี่ยนแปลงของต้นหมากรากไม้ภายในบ้านตลอดระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา ท้ายที่สุดแล้ว สวนของบ้านหลังนี้ จึงเน้นที่การให้ความสำคัญกับการดูแลรักษา ทางเลือกในการปลูกไม้กระถาง ที่แม้ว่าจะดูเชย ไม่ทันสมัย แต่ก็ไปด้วยกันได้ดีกับต้นไม้ใหญ่ยืนต้นที่มีอยู่เดิม เน้นการเลือกไม้ที่มีดอกใบสวย จัดวางในตำแหน่งสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เป็นการดูแลรักษาที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงของเจ้าของบ้าน ที่ต่างก็มีความสุข สนุกสนาน กับการได้ตัดแต่งเล็กๆ น้อยๆ ได้คอยรดน้ำพรวนดินด้วยตัวเอง และเพลิดเพลินไปกับการได้เห็นต้นไม้ในสวนนี้ผลิดอกออกผล แต่หน่อใบใหม่ๆ ที่แข็งแรง และยังเป็นที่ชื่นชมแก่แขกผู้มาเยี่ยมเยือนอยู่เสมอ